กฎหมายใหม่เกี่ยวกับสารเคมีที่ควรรู้
กฎหมายใหม่เกี่ยวกับสารเคมีที่ควรรู้: ผู้ประกอบการต้องปรับตัวอย่างไร
การบริหารจัดการสารเคมีในประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ที่เข้มงวดและเป็นระบบมากขึ้น ภาครัฐมีการปรับปรุงกฎหมายหลายฉบับเพื่อให้การควบคุมสารเคมีมีความปลอดภัย เป็นไปตามมาตรฐานสากล และลดความเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน ผู้ประกอบการที่นำเข้า ผลิต จำหน่าย หรือใช้สารเคมีจึงจำเป็นต้องติดตามความเปลี่ยนแปลงของกฎหมายอย่างใกล้ชิด
บทความนี้จะสรุปและอธิบายรายละเอียดของ “กฎหมายใหม่เกี่ยวกับสารเคมีที่ควรรู้” เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวได้ทัน ป้องกันความผิดทางกฎหมาย และสร้างความน่าเชื่อถือ
การปรับปรุงรายการวัตถุอันตรายและการขออนุญาต
กฎหมายหลักที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมสารเคมีในประเทศไทยคือ พระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม โดยมีหน่วยงานกำกับดูแลหลักคือกรมโรงงานอุตสาหกรรมซึ่งมีการทบทวนรายการวัตถุอันตรายเป็นระยะเพื่อให้สอดคล้องกับความเสี่ยงของสารเคมีที่มีการใช้งานในภาคอุตสาหกรรมจริง
จุดสำคัญของการปรับปรุงในปี 2025
- สารเคมีหลายชนิดถูกปรับจากวัตถุอันตรายประเภทที่ 2 → ประเภทที่ 3 → ต้องขออนุญาตก่อนนำเข้า ผลิต หรือจำหน่าย
- เพิ่มรายการวัตถุอันตรายใหม่ โดยเฉพาะสารตั้งต้นทางเคมีที่อาจนำไปใช้ในกระบวนการผลิตที่ผิดกฎหมาย
- มีการปรับปรุงเกณฑ์การจัดเก็บและขนส่งสารเคมีบางประเภทให้เข้มงวดขึ้น
|
ประเภทของวัตถุอันตราย |
ความหมาย |
สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องทำ |
|
ประเภท 1 |
แจ้งเฉย ๆ |
ต้องแจ้งข้อมูลก่อนนำเข้า/ผลิต |
|
ประเภท 2 |
ควบคุมการจำหน่าย |
ต้องแจ้งรายละเอียดและปฏิบัติตามมาตรฐาน |
|
ประเภท 3 |
ต้องขออนุญาต |
ต้องมีใบอนุญาตอย่างเป็นทางการ |
|
ประเภท 4 |
ห้ามโดยเด็ดขาด |
ไม่สามารถนำเข้า/ผลิต/จำหน่ายได้ |
คำแนะนำ
- ตรวจสอบรายการสารเคมีที่ใช้อยู่ประจำในธุรกิจ ว่าเข้าข่ายประเภทใด
- หากเป็นประเภท 3 ให้รีบดำเนินการขอใบอนุญาตกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม
- เก็บสำเนาใบอนุญาตและเอกสารประกอบไว้เพื่อตรวจสอบได้ตลอดเวลา
การบังคับใช้ระบบ GHS และ SDS อย่างเคร่งครัด
ประเทศไทยได้บังคับใช้ระบบ Globally Harmonized System of Classification and Labelling of Chemicals (GHS) อย่างเป็นทางการ โดยเฉพาะกับสถานประกอบการที่มีสารเคมีอันตราย ระบบนี้เป็นมาตรฐานสากลที่ใช้ในการจัดประเภทและติดฉลากสารเคมี เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้งานและผู้ปฏิบัติงานในห้องแล็บหรือโรงงาน
สิ่งที่ต้องมี
- ฉลากสารเคมี (Label) ต้องมี
- คำเตือน (Signal Words) เช่น Danger หรือ Warning
- สัญลักษณ์ (Pictograms) ที่เป็นไปตาม GHS เช่น รูปหัวกะโหลก, เปลวไฟ, เครื่องหมายตกใจ ฯลฯ
- ข้อมูลผู้ผลิต/ผู้นำเข้า และคำแนะนำการใช้งานอย่างปลอดภัย
- เอกสารข้อมูลความปลอดภัย (SDS) ครบ 16 หมวด เช่น
- ข้อมูลการจำแนกสาร
- มาตรการปฐมพยาบาล
- การจัดการและการเก็บรักษา
- ข้อมูลด้านพิษวิทยาและสิ่งแวดล้อม
- ข้อมูลผู้ผลิตและช่องทางติดต่อ
หากไม่มีฉลากและ SDS ที่ถูกต้อง อาจถูกสั่งห้ามจำหน่าย และมีโทษทางกฎหมาย
ตัวอย่างสารเคมีที่มักถูกตรวจเข้ม
- ตัวทำละลาย (Solvent)
- กรด-ด่างเข้มข้น
- โลหะหนัก
- สารไวไฟ
มาตรการควบคุมการเก็บรักษาและขนส่งสารเคมี
ภายใต้กฎหมายใหม่ มีการเข้มงวดด้านการจัดเก็บและขนส่งสารเคมีเพื่อป้องกันอุบัติเหตุและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะสารเคมีที่จัดอยู่ในกลุ่มไวไฟ กัดกร่อน หรือเป็นพิษ
แนวทางสำคัญ
- ต้องมีพื้นที่เก็บสารเคมีแยกประเภทชัดเจน (เช่น แยกสารไวไฟจากสารออกซิไดซ์)
- ต้องติดตั้งระบบระบายอากาศ ป้องกันการรั่วไหล และระบบดับเพลิงตามมาตรฐาน
- ต้องมีอุปกรณ์ความปลอดภัยส่วนบุคคล (PPE) สำหรับผู้ปฏิบัติงาน
- ต้องมีเอกสารแสดงรายการสารเคมีและแผนบริหารความปลอดภัย (Chemical Safety Plan)
การขนส่ง
- รถขนส่งต้องมีเครื่องหมายเตือนตามประเภทสารเคมี
- ผู้ขับขี่ต้องผ่านการอบรมด้านการขนส่งวัตถุอันตราย
- ต้องมีใบอนุญาตขนส่งวัตถุอันตราย และมีแผนเผชิญเหตุกรณีสารเคมีรั่วไหล
การควบคุมสารเคมีที่มีความเสี่ยงสูง (Precursor Chemicals)
สารบางชนิดถูกกำหนดให้เป็น “สารควบคุมพิเศษ” หรือ “สารตั้งต้น” ซึ่งอาจถูกนำไปใช้ในกระบวนการที่ผิดกฎหมาย เช่น การผลิตยาเสพติดหรือวัตถุระเบิด เช่น โซเดียมไซยาไนด์, กรดซัลฟิวริกเข้มข้น เป็นต้น หน่วยงานหลักที่กำกับดูแลคือสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ผู้ประกอบการต้องปฏิบัติดังนี้
- มีเอกสารรับรองที่มาที่ไปของสาร (ใบกำกับภาษี, ใบอนุญาตนำเข้า, เอกสารซื้อขาย)
- ตรวจสอบและบันทึกข้อมูลผู้ซื้อปลายทาง
- จัดทำระบบติดตามสารเคมีในคลัง (Inventory Control)
- แจ้งหน่วยงานรัฐหากมีการรั่วไหลหรือการใช้งานผิดปกติ
บทลงโทษและการบังคับใช้
ภาครัฐให้ความสำคัญกับการบังคับใช้กฎหมายสารเคมีอย่างจริงจังมากขึ้นในปี 2025 โดยมีมาตรการดังนี้
- การสุ่มตรวจสถานประกอบการและคลังสารเคมี
- การเพิกถอนใบอนุญาตกรณีพบการกระทำผิดซ้ำ
- การปรับทางปกครองสูงสุดหลายแสนบาท และโทษจำคุกในบางกรณี
- การยึดและทำลายสารเคมีที่ไม่มีใบอนุญาตหรือผิดเงื่อนไข
คำแนะนำ
- ตรวจสอบใบอนุญาตเป็นประจำทุกปี
- เก็บบันทึกการซื้อ-ขาย-ขนส่งอย่างเป็นระบบ
- จัดอบรมความปลอดภัยสารเคมีให้พนักงานอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
- จัดทำแผนเผชิญเหตุและซ้อมแผนตามข้อกำหนด
แนวโน้มในอนาคต “Smart Chemical Management”
รัฐบาลกำลังพัฒนาระบบบริหารจัดการสารเคมีแบบดิจิทัลเพื่อให้การกำกับดูแลและการขออนุญาตเป็นเรื่องง่าย โปร่งใส และตรวจสอบได้ เช่น
- ระบบแจ้งและต่ออายุใบอนุญาตออนไลน์ผ่านกรมโรงงานอุตสาหกรรม
- ระบบฐานข้อมูลสารเคมีแห่งชาติ (National Chemical Inventory)
- การเชื่อมโยงข้อมูลการขนส่งกับระบบของหน่วยงานรัฐ
- การใช้ QR Code บนบรรจุภัณฑ์เพื่อสแกนข้อมูล GHS และ SDS
สำหรับผู้ประกอบการ นี่เป็นโอกาสในการลดภาระเอกสารและขั้นตอนราชการ เพิ่มความน่าเชื่อถือของบริษัท และเตรียมความพร้อมเข้าสู่การตรวจสอบแบบเรียลไทม์
เช็กลิสต์สำหรับผู้ประกอบการ
|
รายการ |
ตรวจสอบแล้ว ✅ |
หมายเหตุ |
|
ตรวจสอบประเภทวัตถุอันตรายของสารเคมี |
☐ |
อัปเดตทุก 6 เดือน |
|
มีใบอนุญาตนำเข้า/จำหน่ายที่ถูกต้อง |
☐ |
สำหรับประเภท 3 |
|
ปรับปรุงฉลากและ SDS ตามระบบ GHS |
☐ |
ตรวจสอบเวอร์ชันล่าสุด |
|
มีพื้นที่เก็บสารเคมีที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน |
☐ |
ตรวจสอบระบบดับเพลิง |
|
อบรมพนักงานด้านความปลอดภัยสารเคมี |
☐ |
ปีละ 1 ครั้ง |
|
บันทึกข้อมูลสารเคมีครบถ้วน |
☐ |
ตรวจสอบได้ทุกเมื่อ |
|
เตรียมพร้อมระบบดิจิทัล |
☐ |
สมัครระบบออนไลน์ของรัฐ |
ขอบคุณแหล่งที่มา:
- กรมโรงงานอุตสาหกรรม
https://www.diw.go.th
- กรมควบคุมมลพิษ
https://www.pcd.go.th
- กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
https://www.labour.go.th
- สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
https://www.fda.moph.go.th
- Globally Harmonized System of Classification and Labelling of Chemicals
https://unece.org
